ประเพณีรับ-ส่งตายาย ประเพณีท้องถิ่นของคนใต้ที่ถือปฏิบัติกันมายาวนานตั้งแต่โบราณ มีขึ้นในช่วงกลางเดือนสิบ ประมาณเดือนกันยายน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ-วันแรม 15 ค่ำ ของทุกปี หรือที่เรียกกันว่าประเพณีสารทเดือนสิบ คำว่า "สารท" เป็นภาษาบาลีแปลว่า ฤดูอับลม หรือฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า "ศารท" ฤดูสารท หรือฤดูศารท ตรงกับเดือน 11 และเดือน 12 แต่การทำบุญวันสารทของไทยอยู่ในราวปลายเดือน 1 อาจเป็นเพราะการนับเดือนสมัยโบราณ เริ่มนับจากข้างแรม ถ้านับเริ่มจากเดือน 5 ปลายเดือน 10 จะเป็นวันครบครึ่งปี ดังนั้น คำว่า "สารท" ตามคติไทยอาจถือเป็นวันทำบุญครบครึ่งปีก็ได้ อันที่จริงประเพณีสารทเดือนสิบนี้เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในทุกท้องถิ่นทั่วไทย แต่เรียกชื่อต่างกันไปตามพิธีกรรม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมประจำในถิ่นนั้นๆ
- ภาคเหนือ เรียก กินก๋วยสลาก /ทานก๋วยสลาก/ตานก๋วยสลาก/ตานสลาก/ กิ๋นข้าวสลาก/กิ๋นก๋วยสลากหรือกิ๋นสลาก
- ในภาคอีสาน เรียกบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก
- ภาคกลาง เรียก สลากภัตรและสลากกระยาสารท
- ภาคใต้ เรียก ประเพณีทำบุญเดือนสิบ หรือรับ-ส่งตายาย
การทำบุญสารทเดือนสิบ หรือทำบุญตายาย เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ โดยในช่วงปลายเดือนสิบของแต่ละปี ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่พืชพันธุ์ธัญญาหารในท้องถิ่นได้รับผล คนสมัยโบราณจะมีพิธีกรรมเซ่นสังเวยผลแรกแก่ ผีสาง เทวดาเพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อได้รับศาสนาพราหมณ์และพุทธ พิธีกรรมดังกล่าวจึงเปลี่ยนมาเป็นการทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา ประกอบด้วยเชื่อกันว่า ในระยะเดียวกันนี้เปรตที่มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต" จะถูกปล่อยใหัขึ้นมาจากนรก เพื่อมาร้องขอส่วนบุญต่อลูกหลานญาติพี่น้อง เหตุนี้ ณ โลกมนุษย์จึงได้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปไห้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่น้อง ลูกหลานที่ล่วงลับไป โดยการจัดอาหารคาวหวานวางไว้ที่บริเวณวัด เรียกว่า "ตั้งเปรต" ตามพิธีไสยเวทอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้พัฒนามาเป็น การชิงเปรต ในเวลาต่อมา
วิถีพุทธของคนไทยมีความเชื่อว่า บรรพบุรุษได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเปิดในสรวงสวรรค์ แต่หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศกุศลไปให้ในแต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน แล้วจะกลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
วันรับตายาย จะตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ถือว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับมาจากยมโลก วันนี้จะมีการจัดอาหารคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียน ไปทำบุญที่วัด เพื่อเป็นการอุทิศ ส่วนกุศลให้แด่ท่านผู้ล่วงลับ เรียกวันทำบุญวันนี้ว่าวัน 'หมฺรับเล็ก'คนที่ไปทำงานหรือไปอาศัยที่อื่นๆก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อร่วมงานบุญนี้กับครอบครัว เป็นวันรวมญาติกันอีกวันหนึ่ง
วันส่งตายาย ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือว่าเป็นวันที่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับจะต้องกลับยมโลกดังเดิม เป็นพิธีใหญ่ของงานบุญสารทเดือนสิบ เริ่มทำกันตั้งแต่วันแรม 13 ค่ำ โดยแต่ละบ้านจะเตรียมจับจ่ายซื้อข้าวของเครื่องใช้ เตรียมทำขนมที่ใช้ในพิธี รุ่งขึ้นวันแรม 14 ค่ำ เป็นวันที่ลูกหลานร่วมกันแบกหาม หรือ ทูนหฺมฺรับที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ไปถวายพระที่วัด อาจจะรวมกลุ่มคนบ้านไกล้เรือนเคียงไปเป็นกลุ่มตามธรรมชาติ หรือบางทีอาจจะจัดเป็นขบวนแห่เพื่อความคึกคักสนุกสนานก็ได้ การจัดหฺมฺรับ ส่วนใหญ่จะใช้ของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน เพราะสะดวกในการจัดเก็บและรักษา โดยนิยมจัดในภาชนะกระบุง กะละมัง ถัง ถาด วิธีจัดจะใส่ข้าวสารรองชั้นล่าง ตามด้วยเครื่องปรุงพวกของแห้งที่ใช้ในครัว ชั้นถัดมาเป็นพวกอาหารแห้ง หยูกยา หมากพลู และของใช้จำเป็นประจำวัน ส่วนหัวใจของหฺมฺรับที่เป็นเอกลักษณ์ขาดไม่ได้มี 5 อย่าง (บางแห่งมี 6 อย่าง) เป็นคติความเชื่อที่ใช้รูปทรง ลักษณะของขนมเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งจำเป็น และควรมีสำหรับเปรต คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมกง(ไข่ปลา) และลาลอยมัน วันแรม 15 ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่นำอาหารคาวหวานไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดครั้งใหญ่ ทำพิธีบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้บรรพชน ทำพิธีฉลองสมโภชหฺมฺรับที่ยกมา และตั้งร้านเปรตเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณที่ไม่มีลูกหลานมาทำบุญให้ มีการชิงเปรต และแจกจ่ายขนมในหฺมฺรับ ที่เหลือจากถวายพระแบ่งให้ลูกหลานนำกลับไปกินกัน
ข้อมูลจาก :
siamfreestyle.com/travel-tip/เดือนสิบ
จาก Blog คุณ noksamui
สถานที่ : วัดละไม
Create Date : 13 ตุลาคม 2552
Last Update : 7 มกราคม 2553 23:19:45 น.
หลังจากยุ่งวุ่นวายกับการจักบ้านเมื่อกลับมากทม.ตอนต้นเดือน ตอนนี้ก็มีเวลามาเรียบเรียงบล็อกอีกครั้ง เมื่อเดือนที่แล้ว มีงานบุญประจำปีของชาวสมุย (และชาวปักษ์ใต้) เรียกว่า ทำบุญตา-ยาย แต่คนภาคอื่นรู้จักกันในชื่อว่า งานสารทเดือนสิบ หรือ ประเพณีชิงเปรต นั่นเอง อันว่า "เปรต" ในความหมายของชาวใต้นั้น หมายถึง วิญญาณของบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว เริ่มจากตอนต้นเดือน วันที่ 5 กันยายน ถือเป็นวันต้อนรับตา-ยาย มีการไปทำบุญที่วัดด้วยการเตรียมอาหารคาว-หวาน และขนมต่างๆ โดยเฉพาะขนมเฉพาะงานนี้ด้วย ปีนี้พิเศษเพราะเราไม่ได้มาร่วมงานนานแล้ว จึงตื่นเต้นเป็นพิเศษว่าจะแตกต่างจากในสมัย 10 กว่าปีก่อนอย่างไรบ้าง แม่ตัดสินใจไปค้างบ้านน้าสาว เพราะอยู่ในชุมชนหลังวัดละไม ตอนเช้ามืดจะได้เดินมาวัดสะดวก มีญาติมาจากขนอม (จ.นครศรีธรรมราช) มาร่วมงานด้วย ตีสี่ของเช้าวันที่ 5 กันยา เราถูกปลุกให้ลุกมาอาบน้ำเตรียมไปวัด น้าและแม่ทูนกะละมังจะไปวัดแล้ว นี่ชั้นตื่นคนสุดท้ายของบ้านหรือเนี่ย? ราวสิบห้านาทีไม่ขาดไม่เกิน เราก็เดินเรียงกันไปวัดซึ่งห่างไปแค่ไม่ถึง 200 เมตร เสียงคนจอแจกันเต็มไปหมด ทุกแห่งของศาลาวัดทั้งหลังใหม่และเก่าต่างถูกชาวบ้านจับจองนั่งเป็นกลุ่มๆ ตามตระกูลเดียวกัน มีป้าและน้าหลายคนของเรามาจองแล้ว เราจึงได้ใช้พื้นที่ศาลาเก่าที่ครั้งหนึงเคยจัดงานศพตาที่นี่เป็นที่เตรียม บิณฑ์ (กะละมัง/ตะกร้า/ถาด สำหรับวางสำรับคาว หวานและผลไม้ มักแยกอาหารคาว และอาหารหวานคนละถาด)
ระหว่างที่ตกแต่งบิณฑ์ จะมีพี่น้องบ้านอื่น (หมายถึง นามสกุลอื่น)แวะมาฝากอาหารเติมในบิณฑ์บ้านเราด้วย ตามธรรมเนียมก็จะมีขนมหรือผลไม้ตอบแทนใส่จานคืนเขาไปด้วย และพี่น้องเราบางคนก็เดินออกไปฝากอาหารในบิณฑ์บ้านอืนเหมือนกัน ช่วงนี้แหละที่บรรดาเครือญาติจะได้นั่งคุยไถ่ถามทุกข์สุข(นินทาซะมากกว่า)กัน คนที่จากบ้านไปนานๆก็เนื้อหอมหน่อยเดี๋ยวคนโน้นเรียก คนนี้เรียกมาถามไถ่ไม่ได้นั่งเลย มองๆไป เห็นมีแต่ผู้หญิง ได้ความว่า พวกผู้ชายยังหลับอยู่และมักจะมาช่วยยกบิณฑ์เท่านั้น แล้วก็มานั่งกินอาหารเช้าที่วัดตอนพระสวดเสร็จนั่นแหละ
บ้านเราก็หยั่งงี้แหละ ผู้ชายมักไม่ค่อยช่วยงานบ้านหรอก เห็นที่ขนอม ก็เป็นแบบนี้ งานบ้านงานวัดเป็นของผู้หญิง ยกเว้นคนที่ชอบวัดสนทนาบุญกับพระและที่สวดนำตอนรับศีลหน่อย ที่มักจะเป็นตัวตั้งตัวตีและเป็นโฆษกบอกข่าวงานบุญให้ชาวบ้านมาวัดกัน แต่ก็เฉพาะกิจธุระเกี่ยวกับงาน หน้าที่เตรียมงาน หุงหาอาหารและจัดการสถานที่ มักตกเป็นของฝ่ายหญิงเสมอ...เฮ้อ! นั่งเม้าท์กันจนเราโงกแล้วโงกอีก ก็ยังไม่ถึงเวลาซะที โน่นแน่ะ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมาสวดตอนเกือบหกโมงเช้า คราวนี้ก็ได้เวลาแบกบิณฑ์คาว-หวาน ไปวางที่ชั้นื่วัดเตรียมไว้
พระท่านก็บ่นว่าชาวบ้านมาเช้าเหลือเกิน พระไม่เป็นอันจำวัดกัน ถึงกระนั้นพิธีสวดและการเทศนาชาวบ้าน(ก็ญาติมิตรกันนี่แหละ หากนับญาติกันจริงๆ)ก็เสร็จราวแปดโมงเช้า ก็ให้พวกผู้ชายที่เพิ่งมาสมทบไปยกบิณฑ์กลับมาที่วง
คราวนี้ถึงเวลา 'ชิงเปรต' กันแล้ว นั่นคือ แต่ละคนจะแย่งหยิบของในบิณฑ์ที่หมายตาไว้ ส่วนอาหารคาวนั้น มักใส่ภาชนะอืนแล้วไปวางตามต้นไม้หรือให้คนยากไร้ต่อ ที่นี้จะสนุกมากก็ตอนแย่งของนี่แหละ แย่งไปขำกันไป เรียกว่าบางคนเล็งของที่เพื่อนมาใส่บิณฑ์ตั้งแต่แรกจัดแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะสุดท้ายก็มานั่งล้อมวงกินข้าวเช้ากันที่วัดนั่นเอง
<<งานชักพระ สมุยเม้าเท่นไบค์>> |
หน้าแรก |
|